ไม้ดอกไม้ประดับ

พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ


ค้นพบพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่น่าสนใจจากศูนย์


26 กันยายน 2568
เข็มอินเดีย
ชื่อสามัญ : Egyptian star cluster plant ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pentas lanceolata (Forssk.) Deflers ชื่อวงศ์ : RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ลักษณะดอกเป็นกระจุก มีรูปร่างเหมือนดาว มีดอกสีขาว,สีม่วง,สีชมพูเข้ม, สีชมพูอ่อน, สีเหลือง, สีม่วง,หรือมี 2 สีในดอกเดียว, ออกดอกตลอดปีใบทรงรี ปลายแหลม โคนใบมน มีขนอ่อนๆตามใบและกิ่ง การนำไปใช้ประโยชน์ :  การขยายพันธุ์ : การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง
26 กันยายน 2568
คาโมมายล์
ชื่อสามัญ : Chamomile ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chamaemelum nobile L. ชื่อวงศ์ : ASTERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ดอก ต้นเป็นพุ่มสูง 20-40 เซนติเมตร ลำต้นเล็กทอดเลื้อย ทุกส่วนของต้นมีกลิ่นหอม ช่อดอกออกที่ปลายยอด กลีบดอกวงนอกมีสีขาว ดอกย่อยตรงกลางมีสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายแอปเปิ้ล คาโมมายล์มี 2 ชนิด คือ โรมันคาโมมายล์ (Chamaemelum nobile L.) และเยอรมันคาโมมาย (Matricaria chamomilla) ซึ่งทั้งสองมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยในการคลายกังวล ลดการอักเสบที่ผิวหนัง จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยา อาหาร เครื่องสำอาง และน้ำหอม การนำไปใช้ประโยชน์ : ดอกคาโมมายล์นั้นได้ถูกนำไปทำหลายอย่างมากมาย เช่น เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง น้ำมันหอมระเหย และทำชา สำหรับชาคาโมมายล์นั้นจะมีรสหวาน สรรพคุณ : ดอกคาโมมายล์มีฤทธิ์ที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจได้ ด้วยสรรพคุณที่หลากหลายเหล่านี้จึงทำให้ดอกคาโมมายล์ถูกนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ การขยายพันธุ์ : ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
คาร์เนชั่น
ชื่อสามัญ : Carnation/Clove Pink ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dianthus caryophyllus  L. ชื่อวงศ์ : CARYOPHYLLACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชยืนต้น ลำต้นแตกเป็นพุ่ม กิ่งก้านยาว ใบเรียวยาว มีสีเขียวอมฟ้า ปลายใบแหลมขอบใบเรียบและไม่มีก้านใบ ดอกมีกลีบยาว กลีบดอกเรียงซ้อนกันแน่นโดยมีกลีบรองดอก สีเขียวรูปกรวยโอบรัดโคนกลีบไว้ คาร์เนชั่นมีสีต่างๆ กลิ่นหอมและบานทน การนำไปใช้ประโยชน์ : นอกจากเป็นไม้ประดับ คาร์เนชั่นยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นอีกหลากหลาย เช่น ชาดอกคาร์เนชั่น มีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ลดความเครียด และแก้ปัญหาความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง น้ำมันดอกคาร์เนชั่นยังมีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิวหนังและช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า หรือนำไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สรรพคุณ : เป็นดอกไม้สวยงามอีกหนึ่งชนิดที่มีสรรพคุณทางยาอย่างไม่น่าเชื่อ ได้แก่ ช่วยสมานบาดแผลและแผลไฟโหม้ ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและปวดฝัน ช่วยลดอาการอักเสบของเหงือก บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ช่วยล้างสารพิษ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นต้น การขยายพันธุ์ : ปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
26 กันยายน 2568
คาเลนดูล่า
ชื่อสามัญ : Calendula ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calendula officinalis L. ชื่อวงศ์ : ASTERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ดอกล้มลุก เป็นไม้อายุ 1 ปี มีลักษณะพุ่มสูง 30-60 เซนติเมตร มีทั้งพันธุ์ต้นเตี้ยและต้นสูง ออกดอกเป็นช่อกระจุกเดี่ยว ตัวดอกมีหลากหลายสีสัน อาทิ ครีม เหลือง และส้ม การนำไปใช้ประโยชน์ : เป็นไม้ดอกในตระกูลเดียวกับดาวเรือง มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยเฉพาะทางด้านเครื่องสำอางเวชภัณฑ์ที่นิยมนำน้ำมันได้สกัดได้จากดอกคาเลนดูล่าเป็นส่วนผสม เพราะมีสรรพคุณบำรุงผิว ลดอาการระคายเคืองต่างๆ ได้ ดอกของคาเลนดูล่าสามารถตากแห้งเป็นชาทานได้ ส่วนกลีบดอก สามารถนำมาทำอาหารคาวหวาน ตกแต่งจานอาหารได้หลากหลายเมนู สรรพคุณ : เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นอ่อนคล้ายกลิ่นส้ม กลีบดอกมีรสชาติขมเล็กน้อย อุดมไปด้วยวิตามิน และสารอาหารสำคัญหลายตัว อาทิ สารสำคัญอย่าง ลูทีน (Lutein) ที่มีส่วนช่วยในการเร่งการก่อตัวของชั้นผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และสมานแผล การขยายพันธุ์ : การเพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
ชบา
ชื่อสามัญ : Shoe flower, Hibiscus, Chinese rose ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus mutabilis L. ชื่อวงศ์ : MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบค่อนข้างมนรี มีปลายแหลม ขอบใบจัก สีเขียวเข้ม ดอกชบา มีทั้งกลีบชั้นเดียวและหลายชั้น หากเป็นชั้นเดียวจะมีกลีบดอก 5 กลีบ มีก้านเกสรอยู่ตรงกลางดอกหนึ่งก้าน กลีบดอกมีขนาดใหญ่ หลายสี เช่น ขาว แดง แสด เหลือง ม่วง ชมพู และสีอื่น ๆ โดยดอกชบาแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ ดอกบานเป็นรูปถ้วย, ดอกบานเป็นรูปแผ่แบน, กลีบดอกบานแบบแผ่โค้ง การนำไปใช้ประโยชน์ : นำมาชงหรือต้มดื่มใช้ใบหรือดอกชบาสดหรือตาก นำมาผสมอาหาร ใช้เฉพาะส่วนดอก นำมาขยำ และคั้นแยกเอาเฉพาะน้ำที่เป็นสีมาใช้ สรรพคุณ : ดอกชบาสีแดงมีสารที่เรียกว่า แอนโทไซยานิน สารนี้มีคุณสมบัติช่วยการไหลเวียนของเลือด และมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ แอนโทไซยานิน ในการปกป้องหัวใจ ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ช่วยคลายเครียด ในดอกชบายังมี วิตามินซี สารโพลีฟีนอลและโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งช่วยให้แผลหายเร็ว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และชะลอความชรา การขยายพันธุ์ : การปักชำ การติดตา และการเสียบยอด
26 กันยายน 2568
ชบาเมเปิ้ล
ชื่อสามัญ : Cranberry Hibiscus/African Rosemallow/False Rosella/Maroon Mallow/Red Leaved Hibiscus ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus acetosella Welw. ex Hiern ชื่อวงศ์ : MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่ม อายุหลายปี สูงได้ถึง 2 เมตร ทั้งลำต้น กิ่งก้าน ใบและดอกมีสีแดงถึงสีแดงอมม่วง ลำต้นและกิ่งก้านมีขนปกคลุม ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปนิ้วมือเว้าลึก 3-5 แฉกคล้ายใบเมเปิ้ล ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ตามซอกใบ โคนดอกเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 กลีบคล้ายดอกชบา มีใบประดับรูปใบหอก ดอกบานตอนเช้าแล้วหุบช่วงสาย การนำไปใช้ประโยชน์ : นิยมนำใบมากินเป็นผักสลัดหรือตกแต่งอาหารให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น ดอกสดชงเป็นชา ให้สีแดงอมชมพู รวมถึงนำมาทำเป็นแยมกินกับขนมปังด้วย สรรพคุณ : สีแดงสดของใบและดอกยังอุดมด้วยสารสำคัญคือแอนโทไซยานิน ทั้งยังมีเพกตินจากเมือกเหนียวซึ่งช่วยเรื่องระบบขับถ่าย การขยายพันธุ์ : ปักชำกิ่ง
26 กันยายน 2568
ซ่อนกลิ่น
ชื่อสามัญ : Tuberose ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polianthes tuberosa Linn. ชื่อวงศ์ : AMARYLLIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ลำต้นมีหัวเป็นกระจุกอยู่ใต้ดินสำหรับสะสมอาหาร แตกใบจากหัวเป็นกอๆ ใบรูปแถบเรียวยาว มีดอกติดอยู่ตอนปลายใบเป็นช่อยาวตั้งแต่ 6 – 15 นิ้ว ดอกย่อย 40 – 90 ดอก ทยอยบานตั้งแต่โคนช่อไปหาปลายช่อ สีขาว ส่งกลิ่นหอมแรงทั้งกลางวันและกลางคืน การนำไปใช้ประโยชน์ : ดอกซ่อนกลิ่นสามารถนำมาใช้ปรุงอาหาร เช่น ต้มจืด เป็นต้น และที่สำคัญ ชาวตะวันตกใช้ดอกซ่อนกลิ่นมาสกัดเอาน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้เป็นหัวน้ำหอมในแบรนด์ดังระดับโลก เช่น โจมาโลน, ชาแนล, จิวองซี่ เป็นต้น สรรพคุณ : น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมของดอกซ่อนกลิ่น ใช้รักษาทางสุคนธบำบัด การขยายพันธุ์ : แยกหัว
26 กันยายน 2568
ดอกโสน
ชื่อสามัญ : Hemp Fesbania ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania javanica Miq. ชื่อวงศ์ : FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นต้นไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นสูงเปราะบาง ไม่มีแก่น มีกิ่งก้านเล็กน้อยตอนบน ใบเล็กเป็นฝอยคล้ายใบมะขามหรือใบกระถิน ดอกสีเหลืองคล้ายดอกแคหรือดอกถั่ว มีฝักเมื่อแก่จัด คล้ายฝักถั่วเขียวแต่ยาวกว่ามาก สูงประมาณ 2-3 เมตร การนำไปใช้ประโยชน์ : ดอกไม้พื้นบ้านมีรสหวานเล็กน้อย สามารถประกอบอาหารได้ทั้งลวกจิ้ม น้ำพริก ใส่ในแกงส้ม หรือไข่เจียวก็อร่อย หรือทำเมนูขนมดอกโสน ที่ใช้ดอกโสนนึ่ง และนำไปคลุกกับแป้งข้าวเหนียว และน้ำตาล อร่อย และมีสีสันสวยงามอีกด้วย สรรพคุณ : ดอกโสนอุดมไปด้วยแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่มีส่วนช่วยบำรุงกระดูก และสมอง มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิต มีวิตามินเอที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มีสารสำคัญคือ แคโรทีนอยด์ ช่วยในการบำรุงสายตา ได้          การขยายพันธุ์ : การเพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
ดาวเรือง
ชื่อสามัญ : Marigold ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tagetes erecta L. ชื่อวงศ์ : COMPOSITAE (ASTERACEAE) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ดาวเรืองเป็นไม้ล้มลุก สูง 15 - 60 ซม. ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้าม ใบย่อยรูปวงรี ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมี 2 ลักษณะ คือ ดอกไม่สมบูรณ์เพศอยู่รอบนอกจำนวนมากสีเหลืองหรือเหลืองส้ม ลักษณะคล้ายลิ้นบานแผ่ออก ซ้อนกันหลายชั้น ปลายม้วนลง ดอกสมบูรณ์เพศมีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆ จำนวนมาก รวมกลุ่มอยู่บริเวณกลางช่อดอก ในปัจจุบันนี้ดอกดาวเรือง มีอยู่ด้วยกัน 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่ ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigold), ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds), ดาวเรืองนักเก็ต (Nugget Marigolds), ดาวเรืองซิกเน็ต (Signet Marigold) และดาวเรืองใบ (Foliage Marigold) โดยทั่วไปดอกดาวเรืองมักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดเพียงพอ โดยในประเทศไทยมักปลูกกันบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การนำไปใช้ประโยชน์ : การใช้ในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้ที่สามารถนำมารับประทานได้ ซึ่งอาจนำมาโรยในสลัด ทำเป็นเมี่ยงดอกไม้ ยำดอกไม้ หรือนำมาชุบแป้งทอด นอกจากนี้ยังนิยมนำน้ำคั้นจากส่วนดอกที่มีสีเหลืองส้มมาแต่งสีให้กับอาหาร เครื่องดื่ม และขนมของหวานต่างๆ สรรพคุณ : ดอกดาวเรืองมีสารแซนโทฟิลล์ (Xanthophyll) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ชนิดหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบเป็นโมเลกุลที่มีออกซิเจน อันได้แก่ ลูทีนและซีแซนธิน ซึ่งจัดว่าเป็นสารบำรุงสายตาจากพืชมีสี โดยทั้งสองสารนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้ ช่วยกรองแสงสีฟ้า และยังเป็นสารออกซิเดชั่น ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของจอประสาทตา การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
ดาหลา
ชื่อสามัญ : Torch ginger ชื่อวิทยาศาสตร์ : Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith ชื่อวงศ์ : ZINGIBERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าทอดเลื้อยไปตามผิวดิน เห็นข้อปล้องชัดเจน ทุกส่วนมีกลิ่นหอม ต้นเหนือดินสูงได้ถึง 6 เมตร ใบรูปขอบขนานแกมรูปใบหอกยาวเรียงสลับกัน ช่อดอกออกจากเหง้าชูขึ้นสูงกว่า 50 เซนติเมตร มีใบประดับหนาเรียงซ้อนกันแน่น สีชมพู แดง และขาว ดอกจริงสีเหลืองออกจากใบประดับ ผลทรงกลมขนาดใหญ่ ภายในมีเมล็ดสีดำ การนำไปใช้ประโยชน์ : ดาหลา ดอกไม้สีสันสวยงามที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายส่วน เช่น กลีบดอกดาหลา ที่มีรสเปรี้ยว มักนิยมนำไปทำเป็นยำ หรือ นำมาต้มเป็นเครื่องดื่ม หน่ออ่อนและดอกตูม จะมีรสเผ็ดเล็กน้อย เหมาะกับการนำมาต้มทานเคียงกับน้ำพริก หรือนำไปแกงกะทิ ที่สำคัญในโซนภาคใต้ นิยมนำดอกดาหลามาหั่นฝอย เป็นเครื่องเคียง ทานคู่กับข้าวยำ สรรพคุณ : ดอกดาหลาเป็นดอกไม้กินได้ ที่มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร มีสรรพคุณคล้าย ขิง ข่า ช่วยแก้ลมพิษ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และยังสามารถช่วยแก้โรคผิวหนังได้อีกด้วย การขยายพันธุ์ : แยกเหง้า หรือเพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
เดซี่เหลือง
ชื่อสามัญ : Dahlberg Daisy, Gold Carpet, Gloden Fleece ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thymophylia Tenuiloba (DC.) Small ชื่อวงศ์ : ASTERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เดซี่เป็นไม้ดอกอายุสั้น ต้นเป็นพุ่มขนาดประมาณ 15-20 เซนติเมตร ใบเดี่ยวออกตรงข้าม แผ่นใบหนักลึกตามแนวเส้น ใบคล้ายผักชีสีเขียวอ่อนมีกลิ่นฉุน ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นที่ปลายยอด ดอกวงนอกมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง แดง ม่วง กลีบดอกชั้นเดียว ส่วนดอกวงในมีเหลืองเข้มเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 เซนติเมตร อายุดอกอยู่ได้ประมาณ 60 วัน การนำไปใช้ประโยชน์ : สามารถแปรรูปเป็นเครื่องดื่มอย่างชา ดื่มแล้วช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้สบายและยาวนานขึ้น ปัจจุบันมีการนำสารสกัดของดอกเดซี่มาใช้ประโยชน์ทางด้านความงามด้วยเช่นกัน นั่นก็คือการยับยั้งไม่ให้ผิวหนังผลิตเมลานินได้ ช่วยลบเลือนจุดด่างดำ ลดรอยหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส สรรพคุณ : เป็นดอกไม้ที่สามารถนำมาใช้เป็นยาเพื่อรักษาอาการป่วยได้ เช่น รักษาอาการปวดกระเพาะ มีแผลพุพองในกระเพาะอาหาร ช่วยให้คลายเครียด ผ่อนคลาย การขยายพันธุ์ : ปักชำและเพาะเมล็ด
26 กันยายน 2568
แดนดิไลออน
ชื่อสามัญ : Dandelion ชื่อวิทยาศาสตร์ : Taraxacum officinale. ชื่อวงศ์ : ASTERACEAE. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นบริเวณริมข้างทาง มีต้นกำเนิดมาจากทวีปยูเรเซียและอเมริกาเหนื่อ ลำต้นของเค้าสูงเพียง 6-10 นิ้ว กลีบเยวเล็กสีหลืองสดใส เมื่อเวลาผ่านไปกลีบสีเหลืองจะร่วงโรยเปลี่ยนเป็นเมล็ดพุ่มกลมปุยสีขาว ยามเมื่อลมพัดผ่านพุ่มกลมปุยสีขาวจะกระจายลอยตามลมไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อขยายพันธุ์นั่นเอง การนำไปใช้ประโยชน์ : สามารถนำมาประกอบอาหารได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นส่วนของใบ ดอก ราก ก็ทำได้หมด แม้ว่าจะมีรสขมสักหน่อยแต่ความอร่อยก็ไม่แพ้เมนูอื่นๆ เลย ใบ - นิยมมาทานในผักสลัด เพราะความขมของใบนั้นสามารถเอามาแทนผักโขมได้เหมือนกัน เมื่อรับประทานรวมกับผักชนิดอื่นพร้อมกับน้ำสลัดก็ทำให้เข้ากันอย่างลงตัว แถมยังได้สุขภาพที่ดีด้วย ดอก - นิยมนำมาเป็นของทานเล่น อย่างเมนู ดอกแดนดิไลออนซุปแป้งทอด เป็นเมนูง่ายๆ ทำเองได้ รับประทานกันอย่างเพลิดเพลินระหว่างวันได้เหมือนกัน ราก - เป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์มาก เพราะมีคุณสมบัติขับสารพิษออกจากตับและไต ควบคุมไขมันในร่างกาย จึงนิยมมาทำเป็นชาร้อน เพิ่มความผ่อนคลาย สรรพคุณ : ช่วยล้างสารพิษจากตับไต เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและถุงน้ำดี ขับปัสสาวะ ลดความดัน ควบคุมระดับน้ำตาลระดับไขมัน และคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมยังสามารถช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้ด้วยนะ ในส่วนของใบและดอกจะให้สารเบต้าแคโรทีน วิตามินดี วิตามินบี และวิตามินซีสูง ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและสุขภาพดีขึ้นด้วย การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด