ไม้ดอกไม้ประดับ

พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ


ค้นพบพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่น่าสนใจจากศูนย์


27 กรกฎาคม 2568
กระดังงาไทย
วงศ์ : ANNONACEAE ชื่ออื่น : กระดังงาใหญ่ (กลาง) สะบันงานตัน (เหนือ) Ylang-ylang ลักษณะ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5 - 12 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งเปราะ เปลือกลำต้นค่อนข้างฉ่ำน้ำและมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน รูปรี ยาว 10 - 12 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งเหนือรอยแผลใบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานสีเหลืองและเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 - 5 เซนติเมตร กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น แต่ละกลีบมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกัน ผลกลุ่ม มีผลย่อย 5 - 12 ผล เมื่อแก่สีเหลืองอมเขียว ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี แต่มีดอกดกในช่วงฤดูแล้งจนถึงต้นฤดูฝน ดอกบาน 2 - 3 วันแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอทตลอดช่วงกลางวัน และหอมแรงขึ้นในช่วงใกล้พลบค่ำ การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ปลูกอย่างไรให้สวย :  ต้นไม้ที่มีความสูงประมาณ 1 เมตร ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งเป็นต้นเดี่ยวหรือปลูกเป็นแถวริมถนนให้ห่างกัน 5 - 6 เมตร ปักหลักและผูกยึดป้องกันลมพัดโยก แต่ละต้นจะมีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกดก คอยตัดแต่งกิ่งยอดที่มากเกินไป จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่งและกิ่งไม่ฉีกหัก การปลูกชิดกันเกินไปจะทำให้ต้นชะลูด ทรงพุ่มเบียดกัน และออกดอกได้น้อย
27 กรกฎาคม 2568
กระดังงาสงขลา
วงศ์ : ANNONACEAE ชื่ออื่น : กระดังงาเบา (ใต้) Dwarf Ylang-ylang llang-ilang ลักษณะ : คล้ายกับกระดังงาไทย แต่ต้นเล็กกว่าดอกขนาดใหญ่และมีจำนวนกลีบดอกมากกว่า เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 เมตร แตกกิ่งมาก ทรงพุ่มกลุ่มแน่นทึบ ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกก้านดอกยาวเรียว กลีบดอกมี 6 -18 กลีบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานสีเหลืองและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 - 6 เซนติเมตร ผลกลุ่มมีผลย่อย 8 - 10 ผล แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยติดผล ฤดูดอกบาน : ออกดอตลอดปี แต่ดกในช่วงฤดูฝน ดอกบาน 2 - 3 วันแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอมตลอดช่วงกลางวัน และหอมแรงขึ้นในช่วงดอกใกล้โรย การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ ปลูกอย่างไรให้สวย :  ควรปลูกลงแปลงการแจ้งให้เป็นต้นเดี่ยว หรือปลูกเป็นกลุ่มให้ต้นห่างกัน 1 - 2 เมตร ปักหลักและผูกยึดป้องกันลมพัดโยก แต่ละต้นจะมีทรงพุ่มสวยงามและออกดอกดก คอยตัดแต่งกิ่งยอดที่มากเกินไป จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่ง หากปลูกลงกระถาง ใช้กระถางขนาด 12 นิ้วขึ้นไป และค่อยตัดแต่งกิ่ง จึงมีทรงพุ่มสวยออกดอกดก
27 กรกฎาคม 2568
กระทิง
วงศ์ : GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ชื่ออื่น : ทิง สารภีทะเล Beauty-ieaf, Indian Laurel ลักษณะ : ไม้ขนาดกลาง สูง 6 - 15 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก ทรงพุ่มกลม แผ่กว้างทนทานต่อไอเกลือและลมทะเลทะเลที่พัดรุนแรงได้ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี หนาและเหนียวเป็นมันทั้งสองด้าน เส้นกลางใบสีเหลืองนูนเด่นทั้งสองด้าน ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งและซอกใบใกล้ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 6 - 10 ดอก กลีบดอก 5 - 6 กลีบ สีขาว มีเกสร เพศผู้สีเหลืองจำนวนมากผลกลม ขนาด 2 เซนติเมตร ฤดูดอกบาน : ตุลาคม - ธันวาคม ดอกบาน วันเดียวแล้วร่วง แต่มีดอกอื่น ๆ ในช่อเดียวกันทยอยบาน ส่งกลิ่งหอมตลอดช่วงกลางวัน การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งให้ห่างจากต้นไม้อื่นอย่างน้อย 5 เมตร หากปลูกบนเนินของสนามหญ้าจะดูโดดเด่น สง่างามไม่ควรปลูกชิดกับตัวบ้าน เนื่องจากมีทรงพุ่มแผ่กว้าง หากปลูกชิดตัวบ้านหรือต้นไม้อื่นทรงพุ่มจะเบียดกัน ต้นสูงชะลดและไม่ออกดอกหลังจากการปลูกแล้วควรปักหลักผูกยึดกับลำต้นให้แน่น เพื่อป้องกันต้นเอียงล้ม หมั่นค่อยตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มสวยงาม เหมาะสมกับตัวอาคาร
27 กรกฎาคม 2568
กลาย
วงศ์ : ANNONACEAE ชื่ออื่น : กล้วยด่าง มหาพรหม ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2 - 5 เมตร แตกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น กิ่งยาวเรียว ทรงพุ่มโปร่ง ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน ใบบางเหนียวเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยว ออกตรงข้ามใบสีเหลือง กลีบดอกหนามี 6 กลีบ เรียกเป็น 2 ชั้น กลีบชั้นในประกบกันเป็นรูปกระเช้า มีลายสีม่วงแดงเป็นเส้นพาดตามความยาวของกลีบ เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 - 3 เซนติเมตร ผลกลุ่มมีผลย่อย 4 - 15 ผล รูปทรงกระบอก เมื่อแก่มีสีเหลือง ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี (บางต้นออกดอกเฉพาะช่วงฤดูฝน) ดอกบานวันเดียวแล้วโรยส่งกลิ่นหอมแรงในช่วงเช้า เมื่อแสงแดดแรงขึ้นความหอมจะอ่อนลง แต่บางสายพันธุ์ก็ไม่มีกลิ่นหอมเลย การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด เสียยอด ทาบกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรปลูกลงแปลงในร่มรำไร ให้ห่างจากต้นไม้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร หากปลูกกลางแจ้ง ในระยะแรกควรพรางแสงให้มีร่มเงา เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้นจะปรับตัวอยู่กลางแจ้งได้ดี ชอบดินที่ชุ่มชื่น ระบายน้ำดี ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีทรงพุ่มสวยงามกว่าต้นทาบกิ่งหรือเสีบยอด ควรเลือกปลูกต้นที่ดอกดก มีขนาดใหญ่ สีเข้ม และมีกลิ่นหอม
27 กรกฎาคม 2568
กะเรกะร่อน
วงศ์ : ORCHIDACEAE ชื่ออื่น : - ลักษณะ : กล้วยไม้อิงอาศัย สูง 30 - 40 เซนติเมตร แตกลำลูกกล้วยจำนวนมาก ชอบเกาะกับต้นตาลหรือเกาะอยู่ตามคาคบไม้ยืนต้น ใบหนาแข็งมีจำนวนมาก รูปขอบขนาน ยาว 30 เซนติเมตร แต่ละกอออกช่อดอกครั้งละหลายช่อ ช่อยาว 30 - 40 เซนติเมตร มีดอกย่อย 25 - 30 ดอก กลีบดอกสีน้ำตาลแดง มีสีเข้มแตกต่างกันออกไปดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร ฤดูดอกบาน : มีนาคม - พฤษภาคม ดอกบาน 1 - 2 แล้วโรย ดอกที่อยู่ถัดมาในช่อเดียวกันจะทยอยบาน ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงกลางวัน การขยายพันธุ์ : แยกกอ ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรปลูกลงกระถาง หรือปลูกเกาะกับกิ่งไม้หรือรากชายผ้าสีดา แล้วผูกมัดให้ลำลูกกล้วยตั้งอยู่ในทิศที่เหมาะสม มีแสงแดดอย่างน้อยครึ่งวัน ในช่วงแรกหากฉีดพ่นปุ๋ยทางใบจะช่วยให้ตั้งตัวและเจริญเติบโตได้รวดเร็วขึ้นต้นที่อยู่ในร่มจะไม่ค่อยออกดอก
27 กรกฎาคม 2568
กันเกรา
วงศ์ : LOGAIACEAE ชื่ออื่น : ทำเสา ตำเสา (ใต้) มันปลา (เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ) Anan ลักษณะ : ไม้ต้นขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ สูง 10 - 25 เซนติเมตร เปลือกต้นแตกเป็นร่องลึกตามยาวเจริญเติบโตช้า แตกกิ่งต่ำ ทรงพุ่มแน่นทึบรูปกรวยคว่ำ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี่ถึงรูปขอบขนาน แผ่นใบหนาเหนียวและเป็นมันปลายใบเป็นติ่งเรียวแหลม ช่อดอกสีขาวขนาดใหญ่ ออกใกล้ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมากผลแก่กลม สีแดง ขนาด 5 - 6 มิลลิเมตร ฤดูดอกบาน : เมษายน - พฤศจิกายน ดอกบานเกือบพร้อมกันทั้งช่อ ดอกบาน 1 - 2 วันแล้วโรย กลีบดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนแล้วร่วง ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในช่วงกลางวัน และหอมแรงในช่วงใกล้พลบค่ำ การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งให้ห่างจากต้นไม้อื่นอย่างน้อย 5 เมตร จะได้ทรงพุ่มสวยงาม เมื่อปลูกในพื้นที่โล่งบนสนามหญ้าหรือในสนามกอล์ฟจะดูเด่น สามารถเติบโตได้ในพื้นที่น้ำแฉะ หลังปลูกควรปักหลักและยึดลำต้นเพื่อให้ทรงพุ่มตั้งตรง ต้นที่ได้จากการตอนกิ่งหรือทาบกิ่ง เมื่อปลูกในกระถางจะออกดอกได้ แต่ทรงพุ่มไม่สวยงามและเจริญเติบโตช้ามาก จึงนิยมปลูกจากต้นที่เพาะเมล็ด
27 กรกฎาคม 2568
การเวก
วงศ์ : ANNONACEAE ชื่ออื่น : กระดังงาป่า (ราชบุรี) กระดังงานเถา (ใต้) ลักษณะ : เป็นไม้พื้นเมืองที่นับวันจะหากยากมากขึ้นโดยลำดับ เนื่องจากผู้คนหันมานิยมปลูกกระดังงานจีนมากกว่า เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกล 5 - 15 เมตร ชอบขึ้นตามป่าเบญจพรรณของภาคกลาง ตามลำต้นมีหนามแข็ง ยอดอ่อนมีขนนุ่ม แผ่นใบค่อนข้างบางและเหนียว ใต้ใบมีมีขนเล็กน้อย ออกดอกเดี่ยวที่ตะขอ ดอกใหญ่กลีบแข็ง กลีบเรียงเป็น 2 ชั้น ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 - 5 เซนติเมตร สีเหลืองอมเขียว ผลกลุ่ม มีผลย่อย 4 - 15 ผล ฤดูดอกบาน : มีนาคม - พฤษภาคม ดอกบานวันเดียวแล้วโรย กลีบดอกร่วงในช่วงเวลากลางวัน และหอมแรงในช่วงใกล้พลบค่ำ การขยายพันธุ์ :เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรทำซุ้ม รั้ว หรือค้างให้เลื้อยไต่ ใช้เป็นหลังคาซุ้มบังแสงแดดได้ดีหากปลูกจากกิ่งตอนจะออกดอกได้เร็วกว่าต้นเพาะเมล็ดที่มักให้ดอกยืดยาว เลื้อยพันเป็นซุ้มหนาและออกดอกได้ช้า การตัดแต่งกิ่งจะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่ง ออกดอกมากขึ้น และช่วยลดน้ำหนักของพุ่มใบมิให้มากเกินไปจนซุ้มพังเสียหายได้
27 กรกฎาคม 2568
กุหลาบ
วงศ์ : ROSACAEA ชื่ออื่น : Rose ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงได้ถึง 3 เมตร มีหนามตามลำต้นและกิ่ง ใบประกอบมีใบย่อย 5 - 7 ใบ ขอบใบเป็นจัก ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยวแล้วแต่พันธุ์ เป็นดอกไม้ที่มีความงดงามมาก จนได้รับการขนาดนามนามว่าราชินีแห่งดอกไม้ (Queen of Flowers) ส่วนมากชอบอากาศหนาวเย็นเพราะมีถิ่นกำเนิดจากทวีปยุโรป บางพันธุ์ได้จากการปรับปรุงพันธุ์จากทวีปอเมริกา ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี มีหลายสายพันธุ์ที่มีกลิ่นหอมเย็น บางพันธุ์ส่งกลิ่นหอมตอนเช้าและตอนเย็น แต่ละพันธุ์ก็มีจำนวนกลีบดอกและบานได้ทนนานต่างกัน การขยายพันธุ์ : ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง ติดตา ปลูกอย่างไรให้สวย : ชอบดินร่วน ความชื้นปานกลาง ลระบายน้ำได้ดี หากมีอากาศหนาวเย็นจะให้ดอกใหญ่ สีเข้มสดใสสวยงามกุหลาบจึงเป็นไม้ประดับที่สวยงามในพื้นที่ระดับสูง ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น เช่น ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ส่วนพื้นที่ราบภาคกลางก็สามารถปลูกพันธุ์ที่ทนร้อนได้ทั่วไปสิ่งสำคัญคือ หมั่นตัดกิ่งปละใส่ปุ๋ย จะให้ดอกใหญ่และสวยงาม
27 กรกฎาคม 2568
กุหลาบมอญ
วงศ์ : ROSACAEA ชื่ออื่น : Damask Rose ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งยาวได้จำนวนมากและมีทรงพุ่มโปร่ง ตามลำต้นและกิ่งมีหนามแข็งขนาดเล็กจำนวนมากใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 - 7 ใบ ตามก้านใบและใบมีหนามเล็ก ๆ ช่อดอกออกที่ปลายยอด สีชมพูหรือสีแดง มี 3 - 5 ดอก กลีบดอกมี จำนวนมากเรียงซ้อนกันแน่น เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 - 7 เซนติเมตร ผลรูปไข่ มีหลายเมล็ด ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี แต่ละช่อจะทยอยบานหรือบานพร้อมกัน 2 ดอก ดอกแย้มบานอยู่ได้ 2 - 3 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน ในยุโรปนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหย การขยายพันธุ์ : ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง ติดตา ปลูกอย่างไรให้สวย : เจริญเติบโตอยู่ได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย หากปลูกอยู่ในพื้นที่สูงหรือมีอากาศหนาวเย็นจะให้ดอกใหญ่  ชอบดินร่วนมีความชื้นสูง และระบายน้ำดี  ควรพรวนดินกำจัดวัชพืช ตัดแต่งกิ่ง และใส่ปุ๋ยคอกเป็นระยะ ๆ จะแตกกิ่งกระโดงและมีช่อดอกสมบูรณ์ถ้าปลูกเป็นไม้กระถาง ควรเลือกกระถางที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เพราะแตกกิ่งยืดยาวมาก
27 กรกฎาคม 2568
แก้ว
วงศ์ : RUTACEAE ชื่ออื่น : แก้วขาว แก้วลาย Chinese Box, Cosmetic Bark Tree, Orange Jasmine ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 3 - 6 เมตร หากปล่อยให้เจริญเติบโตโดยไม่ตัดแต่ง จะกลายเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่และแตกกิ่งเป็นพุ่มแผ่กว้าง ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 5 - 9 ใบ ผิวใบเป็นมันและมีต่อมน้ำมันเป็นจุดใส ๆ อยู่บนใบ ช่อดอกออกตามซอกใบ ดอกทยอยบานสีขาว เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ผลกลม เมื่อแก่สีแดง ฤดูดอกบาน : ออกดอกบานพร้อมกันเต็มต้นปีละ 3 ครั้ง และทยอยบานได้เกือบตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูฝน ดอกบานวันเดียวแล้วร่วงส่งกลิ่นหอมแรงช่วงพลบค่ำถึงเช้ามืด การขยายพันธุ์ :เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ปลูกเป็นต้นเดี่ยว เป็นกลุ่ม เป็นแถว แล้วตัดแต่งให้เป็นแนวรั่วหรือรูปทรงต่าง ๆ หรือปลูกเป็นไม้กระถางประดับกลางแจ้ง หากปลูกในร่มจะออกดอกได้น้อยลง ควรตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่งและแผ่กว้าง จะออกดอกทั่วต้นอาจปลูกเป็นแปลงให้คลุมดิน แล้วตัดให้เป็นพุ่มจะอยู่ได้นาน แต่ไม่ออกดอก
27 กรกฎาคม 2568
เข็มหอม
วงศ์ : RUBISCEAE ชื่ออื่น : เข็มพวงขาว ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1 - 2 เมตร สามารถขึ้นและเจริญเติบโตอยู่ได้ดีในดินทุกประเภท แตกกิ่งใกล้ผิวดินเป็นพุ่มแน่นทึบใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรี ยาว 10 - 17 เซนติเมตร ช่อดอกกลมแน่นที่ปลายยอด สีขาว ช่อใหญ่ ขนาด 10 - 15 เซนติเมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก แต่ละดอกมีขนาด 1 เซนติเมตรเมล็ดกลม สีดำ แต่มีโอกาสติดเมล็ดได้น้อย ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี ดอกบานพร้อมกันทั้งช่อ เริ่มแย้มและบานอยู่ได้ 2 วันแล้วโรยและเปลี่ยนเป็นสีขาวหม่น ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตลอดวัน การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : ควรปลูกในกระถางขนาดใหญ่ ใช้ดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดีและมีปุ๋ยเพียงพอแล้วตั้งประดับไว้กลางแจ้ง หรือปลูกลงแปลงกลางแจ้งเป็นต้นเดี่ยว เป็นกลุ่ม หรือเป็นแถวหากตัดแต่งกิ่งให้มีทรงพุ่มโปร่งและทรวดทรงสวยงาม กำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยคอกเพิ่มให้เป็นช่วง ๆ จะช่วยให้แตกใบอ่อนและแตกยอดใหญ่ออกช่อดอกที่ปลายกิ่งได้สวยงาม
27 กรกฎาคม 2568
ไข่ดาว
วงศ์ : FLACORTIACEAE ชื่ออื่น : Fried Egg Tree, Snuffbox Tree ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2 - 3 เมตร แตกกิ่งน้อย กิ่งเหนียวและแตกยอดยืดยาว ตามซอกใบมีหนามแหลม 1 อัน ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี ผิวใบเป็นมัน หนาแข็ง เส้นใบและเส้นใบย่อยไม่เด่นชัด ขอบใบจักละเอียด ดอกเดี่ยว ออกที่ปลายยอด กลีบดอกบาง สีขาว มีเกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีเหลืองอยู่รวมเป็นกระจุกตรงกลางดอก เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 - 8 เซนติเมตรมักไม่ติดผล ฤดูดอกบาน : ทยอยออกดอกตลอดปี ช่วงต้นฤดูฝน ดอกดกมากกว่าปกติ ดอกเริ่มแย้มและบาน 2 วันแล้วร่วง สงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตลอดวัน การขยายพันธุ์ : ตอนกิ่ง ปลูกอย่างไรให้สวย : เนื่องจากเป็นพรรณไม้จากต่างประเทศที่ดอกใหญ่ สวยงาม และมีกลิ่นหอมจึงได้รับความนิยมทั่วไป ตั้งประดับไว้กลางแจ้ง หรือปลูกเป็นต้นเดี่ยวลงแปลง หากปลูกเป็นกลุ่มควรห่าง 2 เมตร คอยตัดแต่งกิ่งที่ยาวเกะกะ กิ่งแห้งหรือเป็นโรคออก จะช่วยให้ทรงพุ่มโปร่งและสวยงาม