บทความและงานวิจัย
สถานการณ์การค้าสินค้าไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ของไทย ปี 2563 และ 2 เดือนแรกของปี 2564

โอกาสการส่งออกไม้ดอกไม้ประดับของไทยในตลาดโลก
ในระยะสั้น คาดว่าแนวโน้มความต้องการไม้ดอกไม้ประดับในตลาดโลกจะยังคงชะลอตัวเนื่องจากวิกฤติ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ในหลายประเทศ ทาให้การท่องเที่ยว การจัดประชุม สัมมนา การจัดงานกิจกรรมต่างๆ หยุดชะงัก และความต้องการใช้ไม้ดอกไม้ประดับในการตกแต่งสถานที่สาหรับกิจกรรมต่างๆ หดตัวตามไปด้วย แต่ในระยะยาว หลังสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย คาดว่าสินค้าไม้ดอกไม้ประดับของไทยจะมีศักยภาพในการส่งออกและกลับมาขยายตลาดได้เพิ่มอีก เนื่องจากข้อได้เปรียบ จากภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีสภาพภูมิอากาศที่ดี รวมทั้งมีเทคโนโลยีการผลิตที่มีมาตรฐาน นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยยังมี นักปรับปรุงพันธุ์พืชที่มีความสามารถพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับใหม่ๆ ที่มีความสวยงามออกมาสู่ตลาดเป็นจานวนมาก ประกอบกับไทยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากความตกลงการค้าเสรี ซึ่งช่วยอานวยความสะดวกทางการค้า และสร้าง ข้อได้เปรียบด้านราคาให้กับสินค้าไทย โดยปัจจุบันสินค้าไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ของไทยทุกรายการสามารถส่งออกไป17 ประเทศคู่ FTA (อาเซียน 9 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู) โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร เหลือเพียงอินเดียที่ยังคงภาษีนาเข้าสินค้าไม้ดอกไม้ประดับบางรายการไว้เท่านั้น
ทั้งนี้ เพื่อให้สินค้าไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ของไทยขยายตลาดและครองใจผู้บริโภคในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น สิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสาคัญในการส่งออก คือ คุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งประเทศผู้นาเข้าส่วนใหญ่มักมีข้อกาหนดด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures) กาหนดเงื่อนไขว่าสินค้าที่จะนาเข้าต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary Certificate) ที่ออกให้โดยหน่วยงานผู้มีอานาจของประเทศผู้ส่งออก5 และจะต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงของศัตรูพืชที่อาจติดมากับสินค้า รวมทั้งอาจมีข้อกาหนดเพิ่มเติมเรื่องหลักการทั่วไปของการปฏิบัติที่ถูกต้องทางการเกษตร (Good Agriculture Practice : GAP) อีกด้วยนอกจากนี้ ควรพัฒนากระบวนการเพาะพันธุ์และการผลิตโดยนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ตลอดจนเร่งพัฒนาพันธุ์ไม้ใหม่ๆ เนื่องจากไม้ดอกไม้ประดับถือเป็นสินค้าแฟชั่นที่ต้องมีการพัฒนาพันธุ์ใหม่อยู่เสมอตามความต้องการของตลาด ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ยนช่องทางการทาตลาด โดยหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ควบคู่ไปกับการใช้ข้อได้เปรียบทางภาษีโดยเจาะตลาดส่งออกไปยังประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย
แหล่งที่มา : ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจและประเมินผลการเจรจาศูนย์สารสนเทศการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมษายน 2564